วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ลัคนา จุดขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก

ลัคนา คือ จุดขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก ณ เวลาที่เราเกิด โดยคำนวณหาจากองศาของพระอาทิตย์ ณ วัน และ เวลาที่เราเกิด


โดยทั่วไป การหาลัคนา จะประกอบด้วยเวลา ๒ ส่วน คือ  เวลาเกิด และ เวลาอาทิตย์ขึ้น
 http://www.payakorn.com/webboard_ans.php?q_id=2947
คคห.6 อ.บั๊ก ตอบในกระทู้เรื่องนี้แบบย่อๆ ไว้ตามนี้ค่ะ

เวลาอาทิตย์อุทัย(อาทิตย์ขึ้น) ที่นำมาใช้ในการหาลัคนานั้น จะต้องได้มาจากการคำนวณหาโดยใช้ เส้นรุ้ง และ เส้นแวง ของสถานที่เกิด มิใช่ หามาจากการใช้เวลาอาทิตย์ขึ้นที่กทม. (หรือ อุบล) มาบวกลบเวลาอัตรา(เวลาปรับแก้เป็นเวลาท้องถิ่น เช่น กทม. ลบ 18 นาที) เพราะตัวปรับแก้นั้น คิดจากเส้นแวงเพียงอย่างเดียวจะให้เวลาที่ไม่ถูกต้อง

เวลาอาทิตย์ขึ้นและเวลาเกิด จะต้องเป็นเวลาประเภทเดียวกัน คือ เวลามาตรฐาน ก็ต้องเป็นเวลามาตรฐานทั้งเวลาเกิดและอาทิตย์ขึ้น หรือ หากจะเป็นเวลาท้องถิ่นก็ต้องเป็นท้องถิ่นทั้งเวลาเกิดและอาทิตย์ขึ้น เพราะเราต้องการหาผลต่างของเวลา ๒ อันนี้ ไปแปลงเป็นองศา (โดยใช้อันโตนาที) เพื่อจะได้องศาลัคนาต่อไป


ตำแหน่งดาวมาตรฐาน และความหมาย

ตำแหน่งดาวมาตรฐาน 


โดยทั่วไป เราใช้ ตำแหน่ง เกษตร ประ อุจจ์ นิจ มหาจักร ราชาโชค  เราต้องจำให้ได้ว่า ดาวดวงนี้อยู่ราศีนี้ได้ตำแหน่งอะไร ซึ่งเราจะใช้ในการขยายความหมายของการอ่านดวงชะตาต่อไป


ตำแหน่งดาวเกษตร / ประ 

ที่ทำมาเป็นคู่กัน เพราะจะได้จำได้ง่ายๆ คือ ตำแหน่งประ จะอยู่ตรงข้ามกับตำแหน่งเกษตรของตัวเอง
เช่น ตำแหน่งเกษตรในรูปบน ก็คือ ๓(ดาวอังคาร) เป็นเกษตร ในราศี เมษ  และเป็นเกษตรในราศีพิจิก และในตำแหน่งประ ๓ ได้ตำแหน่งประ ในราศีตุลย์(ตรงข้ามราศีเมษ) และราศีพฤษก(ตรงข้ามราศีพิจิก)

เกษตร หมายถึง มั่นคง ยาวนาน ถาวร ช้า
ประ ก็คือคำตรงข้ามกับเกษตร หมายถึง ไม่มั่นคง ไม่ยาวนาน(ชั่วครั้งชั่วคราว)




ตำแหน่งอุจจ์ / นิจ 

อุจจ์ หมายถึง ยิ่งใหญ่ มีพลัง 
นิจ หมายถึง อ่อนแรง ด้อยค่า ไม่มีพลัง 
ตำแหน่งนิจ ก็จะอยู่ตรงข้ามกับตำแหน่งอุจจ์ของตัวเอง  เช่น ๒ ได้ตำแหน่งอุจจ์ในราศีพฤษก แต่จะได้ตำแหน่งนิจ ถ้าอยู่ในราศีพิจิก 


ตำแหน่งมหาจักร

จะเป็นส่วนผสมระหว่างอุจจ์และนิจ คือขึ้นก็ขึ้นสูงสุด ลงก็ลงต่ำสุดเช่นกัน คำกลอนที่เวลาพูดถึงมหาจักรก็คือ  "มหาจักร ฟักตนให้เป็นใหญ่ กว่าจะได้ต้องบุกบั่นฟันโฉงเฉง ช่างผาดโผนหนักหนา น่ายำเกรง ยศยิ่งเพรง จึงมีให้ดีใจ"   ก็คือกว่าจะได้มาต้องฝ่าฟัน ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ 




ตำแหน่งราชาโชค 

แปลง่ายๆว่าโชคดี ได้อะไรมาแบบง่ายๆสบายๆ ไม่ต้องเหนื่อยมาก แต่ตำแหน่งไม่ได้ตรงข้ามกับมหาจักร ต้องท่องจำแบบเบอร์โทรศัพท์




คู่ดาว ดาวพระเคราะห์คู่-  เราเรียกกันสั้นๆ เช่น ดาวคู่มิตร คู่สมพล คู่ธาตุ คู่ศัตรู  


ทั้งหมดนี้ คือพื้นฐานที่โหรทุกคนต้องรู้  ท่องจำพวกนี้ให้ได้ก่อนไปเรียนที่สำนักใดๆ ก็ตาม ก็จะเป็นประโยชน์กับคนที่สนใจ  มีอย่างอื่นต้องจำอีกไหม มีอีกเยอะมากก็ค่อยๆเรียนรู้ไปทีละขั้นตอน แต่ละสำนัก






ภาพจำลองท้องฟ้า ราศี และดาวประจำราศี

ภาพจำลองท้องฟ้า (จักรราศี) และ ดาวประจำราศี (ดาวเกษตร)


นักโหราศาสตร์จำลองภาพจักรวาลเป็นวงกลม (ประเทศอื่นๆ มีเป็นรูปสี่เหลี่ยมก็มี) และแบ่งออกเป็น 12 ช่องตามจักรราศีที่มี  




เราก็จะเริ่มต้นด้วยราศีเมษที่ช่องบนสุด แล้วไล่ทวนเข็มนาฬิกาไป เรามีหน้าที่ต้องจำให้ได้ว่าช่องไหนคือราศีอะไร ตามรูปด้านล่างนี้  


ต่อมาก็ต้องรู้อีกว่า แต่ละราศี มีดาวประจำราศี หรือ ที่ภาษาโหร เรียกว่าดาวเกษตร  ซึ่งเราจะใช้ตัวเลขแสดงแทนชื่อดาว 

ดาวที่ประจำอยู่แต่ละราศีให้เริ่มต้นที่เมษเช่นกัน ราศีเมษ ดาวเกษตรประจำราศีคือดาว ๓ (ดาวอังคาร) หลังจากนั้นก็ไล่ไปเหมือนท่องเบอร์โทรศัพท์ ๓ ๖ ๔ ๒ ๑ ๔ ๖  หลังจากนั้นก็ไปอีก ๓ ๕ ๗ ๘ ๕   ข้อสังเกตุคือฝั่งตรงข้ามบวกกันแล้วจะได้เลข 9 ดังนั้นก็จำเฉพาะ 7 ตัวแรกก็พอ 


แต่ละราศี และ ดาวเจ้าเรือนต่างๆ ก็มีความหมาย ซึ่งในรายละเอียดที่จะต้องเรียนรู้ต่อไป  

**สิ่งที่ควรรู้และท่องจำอีกอย่างในหัวข้อนี้ก็คือ   ธาตุของราศี และ ธาตุของดาว ซึ่งยังไม่ต้องสนใจในตอนนี้ก็ได้






พื้นฐานที่ต้องจำให้ได้

พื้นฐานโหราศาสตร์ไทยที่ต้องจำให้ได้ ไม่ว่าจะเรียนสายไหน สำนักไหน ก็ต้องมีพื้นฐานที่ต้องจำ เหมือนเรียน กอไก่ ขอไข่  ดังนี้


    1.ดาว 
    2.ราศี 
    3.เรือนชะตา 
    4.จักรราศี(ภาพแทนท้องฟ้า) 
    5.ดาวประจำราศี หรือที่เรียกว่า ดาวเกษตร
    6.มาตรฐานดาว เมื่อไปอยู่ราศีต่างๆ และคู่ดาวที่มีอิทธิพลต่อกัน
    7.ลัคนา 
    8.การผูกดวง โดยใช้วันเดือนปีเกิดเวลาเกิดสถานที่เกิด 

1.ดาว ของไทยเราใช้เลขไทย แทนดาว ดังนี้  


ในภาษาพูด โหรก็จะไม่เรียกดวงอาทิตย์ว่าดวงอาทิตย์ แต่เรียกว่าดาวอาทิตย์  ส่วนดวงจันทร์ก็ จะเรียกว่าดาวจันทร์ ส่วนราหู และเกตุ ก็ไม่ใช่ดาว แต่เป็นจุดที่เกิดจากการคำนวณบนท้องฟ้า โหรก็รวมเรียกว่า "ดาว" เช่นกัน 

แต่ละดาวก็มีความหมาย มีอิทธิพลที่แตกต่างกัน ความหมายเองก็มีหลากหลายในการตีความ พอเรียนมากขึ้นก็จะค่อยๆรู้มากขึ้น 

2.หลังจากนั้นก็ชื่อราศีต่างๆ ท่องเรียงไปตามชื่อเดือน ดังรูปด้านล่างนี้  ท่องชื่อราศีไปก่อนจำได้แล้วค่อยไปต่ออีกขั้นหนึ่ง



3.สุดท้ายจำชื่อเรือนชะตา 12 เรือนดังนี้ (เน้นจำตรงตัวหนังสือสีขาวให้ได้ก่อน) 



จำคำศัพท์ และสัญลักษณ์เหล่านี้ให้ได้ก่อน ถ้าจำไม่ได้ ก็ท่อง ท่องแล้วท่องอีกก็จำไม่ได้ ก็อาจจะหมายความว่า เราไม่เหมาะกับโหราศาสตร์ไทยก็ได้  อาจจะไปลองเรียนสาขาอื่นๆดู เช่นเลข 7ตัว ไพ่ทาโร่ต์ ยูเรเนี่ยน ฯลฯ

irียnโหrาศาสตร์nี่ไหนดี

หลายคนชอบใช้คำว่า อยู่ที่วาสนา ซึ่งตามที่เข้าใจ ไม่ได้แปลว่า ใครดีกว่าใคร สำนักไหนดีกว่าสำนักไหน หรือสายวิชาไหนดีกว่าสายวิชาไหน  ที่สำคัญวิชาว่าด้วยการพยากรณ์มีหลายศาสตร์ มีหลายสำนัก ถูกบ้างแพงบ้างฟรีบ้างมีให้เลือกหลากหลาย


จะเลือกเรียนกับใครก็ได้ เรียนทุกสำนักก็ได้ ดังนั้น การเรียนกับใคร ศาสตร์แบบไหน จึงขึ้นอยู่กับจริตของเราเอง อาจจะเรียนโหราศาสตร์ไทยเป็น 100 ชั่วโมงก็ไม่รู้เรื่อง แต่เข้าไปเรียนยูเรเนี่ยนครั้งเดียวเข้าใจเลยก็มี หรือเรียนแล้วเข้าใจทุกศาสตร์แต่ศาสตร์ที่ชอบใช้คือเลข 7 ตัวก็มีเหมือนกัน 

สมมุติว่าเลือกเรียนโหราศาสตร์ไทย ง่ายที่สุดก็คือเดินไปหาสถาบันที่สอนโหราศาสตร์ไทยเบื้องต้น ส่วนใหญ่ก็จะเรียนเสาร์อาทิตย์กัน ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน แล้วหลังจากนั้นก็ดูว่าชอบคนสอนไหม ชอบสถานที่สเรียนไหม ไม่ชอบก็เปลี่ยน 

เรียนเบื้องต้นแล้วก็พอจะเริ่มอ่านได้บ้างก็พยายามหาตัวอย่างการอ่านมาอ่านตามดูมีทั้งแบบเป็นเล่ม มีทั้งแบบฟรีหาอ่านตามเวปบอร์ด ยิ่งตัวอย่างเยอะเราก็จะยิ่งเข้าใจมากขึ้น 

กรณีที่เจออาจารย์ผู้สอนถูกใจแล้วก็อ่านตามอาจารย์ ท่านสอนอย่างไงก็อ่านตามท่านไปค่ะ ออกสนามจริงเมื่อไหร่ประสบการณ์จริงจะสอนเราอีกที 

กรณีที่ยังอยู่ในช่วงแสวงหาอาจารย์ ก็อย่าตำหนิอาจารย์ที่สอนเราเลยค่ะ จริตเราไม่ตรงกันเท่านั้นเอง ส่วนใหญ่อาจารย์ทางโหรจะค่อนข้างใจเย็นและอดทนกับลูกศิษย์ค่ะ เพราะท่านก็เคยผ่านช่วงชีวิตในทางโลก และการเริ่มต้นศึกษาโหราศาสตร์มาแล้ว ส่วนใหญ่จะเข้าใจเราค่ะ

เรียนเองได้ไหม เรียนได้ตอนช่วงแรกๆ ซื้อหนังสือมาอ่านเอง. จำตัวเลขสัญลักษณ์ดาวให้ได้ จำราศีให้ได้ จำดาวประจำราศี(เกษตรเจ้าเรือน) ให้ได้ ก็จะเป็นประโยชน์ในการเริ่มต้น หลังจากนั้นควรมีหลักในการทายซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมาก ในแต่ละสาย ซึ่งถ้าหากไม่เข้าไปเรียนที่ไหนเลย จะทำให้ความเข้าใจสับสนตีกันค่ะ ต้องเข้าไปเรียนเพื่อจะมีหลักยึดไว้สักสายวิชาแล้วค่อยแตกยอดออกไป

บางคนใช้วิธีเอาดวงตัวเองไปให้อาจารย์ทายก่อน ถ้าตรงก็ถึงจะเรียน วิธีนี้ไม่ได้พิสูจน์ว่าใครเป็น ผู้สอนที่ดีนะคะ  การทายกับการสอนไม่เหมือนกัน เพราะว่าการสอนทฤษฏี คือพื้นฐานที่ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ สำคัญที่วิธีการถ่ายทอดและเนื้อหา มุมมอง ตัวอย่างดวง ฯลฯ 


โหrาศาสตร์

หลายๆคนคงสงสัยว่าทำไมมีคนมากมายถึงเรียนโหราศาสตร์เรียนหมอดู  และชอบไปหาหมอดู ทั้งๆที่ได้ขึ้นชื่อว่างมงายไร้สาระ คำตอบก็คือ ทุกคนอยากรู้อนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น 




เคยเขียนลงไว้ในเพจอ่านดวงเข้าใจตน http://goo.gl/kqOK4S  ขอก๊อปมาไว้ที่นี่อีกครั้ง


ทำไมถึงเรียนโหราศาสตร์ :

เพราะโหราศาสตร์คือเครื่องมือในการ "พยากรณ์" อย่างหนึ่ง ไม่ต่างกับวิชาเศรษฐศาสตร์ ที่ "พยากรณ์เศรษฐกิจ"  หรือการดูกราฟเพื่อวิเคราะห์หุ้นตัวไหนจะขึ้นหรือลง(พยากรณ์?),การบริหารบุคคล,การตลาด ล้วนแล้วแต่มีวัตถุประสงค์เพื่อ "การพยากรณ์" 

หรือแม้กระทั้งวิชาประวัติศาสตร์ ที่ว่าด้วยเรื่องราวในอดีต แต่ในความหมายที่แท้จริงก็เพื่อวิเคราะห์เหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นถึงสาเหตุที่มาที่ไป และวิเคราะห์(แปลว่าอธิบายได้)สถานการณ์ปัจจุบันว่าเงื่อนไขขณะนี้ จะทำให้เกิดอะไรขึ้นในอนาคต !!!! เพื่อเตรียมตัวรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น !!!  (ตอนเรียนประวัติศาสตร์ course outline ว่าไว้แบบนี้จริงๆๆๆๆ)

ไหนๆก็เรียนวิชาที่เป็นเหตุเป็นผล ได้ดีกรีมาเป็นหลักประกันแล้ว จะหาเรียนอีกสักวิชาที่ว่าด้วยการพยากรณ์ ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร ดังนั้นโดยส่วนตัว การเรียนโหราศาสตร์ของตัวเอง จึงไม่ต่างกับเวลาที่นั่งเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ทั้งจุลภาค มหภาค ฯลฯ (สนุกพอๆกัน)

นอกจากการพยากรณ์แล้วได้อะไรอีก :

ศาสตร์อื่นๆ ที่กล่าวข้างต้นก็มุ่งเน้นใน "การอธิบาย" เหตุการณ์ ณ เวลาใด เวลาหนึ่งเช่นกัน ด้วยทฤษฏีทางเศรษฐศาสตร์ ทฤษฏีรัฐศาสตร์ ทฤษฏีทางการเมือง ทฤษฏีทางการเงิน ฯลฯ  โหราศาสตร์ก็เช่นกัน ถ้าหากศึกษาโดยทั่วไปแล้วจะสามารถอธิบายตัวเรา ความคิดเรา เงื่อนไขในชีวิต ได้ในระดับหนึ่ง  และเป็นส่วนหนึ่งทำให้หลายคนชอบที่จะเรียน เพราะนอกจากจะอธิบายตัวเองได้แล้ว ก็ยังอธิบายคนอื่นๆ คนรอบข้างได้อีก ทำให้เข้าใจคนอื่นมากขึ้น

การพยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆมันเกิดขึ้นจริงๆ ทุกเรื่องหรือไม่:

ในฐานะที่เรียนมานานและเน้นที่ดวงตัวเองและคนรอบข้างเป็นหลัก มันบอกแนวโน้มเช่นนั้นจริงๆ แต่จะเกิดหรือไม่เกิดมันอยู่ที่

1.เจ้าของดวงชะตาเอง+ สภาวะจิตใจของเจ้าชะตา
2.กรรมใหม่ที่ได้ทำและสะสมมาตั้งแต่เกิดด้วยว่าจะช่วย หรือจะซ้ำให้เหตุการณ์นั้นจะเกิดหรือไม่เกิด

บางคนเข้มแข็งก้าวข้ามมันไปได้ไม่ต้องดูดวง บางคนไม่สามารถก้าวข้ามมันไปได้ ในขณะที่คนที่เรียนโหราศาสตร์และนำไปใช้อย่างมีเหตุมีผลจะเข้าใจสถานการณ์ ดังนั้นจึงมีเวลาทำใจเตรียมพร้อมที่ลุย หรือจะถอย ตอนนี้เหตุการณ์น่าจะแรงเราก็เห็น เราก็ต้องใจเย็นๆลงไปอีก เพราะเห็นๆอยู่ว่ามันมีมุมที่จะทำให้แตกหัก หรือมีเรื่องมีราวได้ง่าย

ดวงกำหนดเรา หรือเรากำหนดดวง :

ตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยมีรายการข่าวสัมภาษณ์ชาวนา เรื่องอะไรจำไม่ได้แล้ว ชาวนาพูดว่า "ความหวังของผมทั้งหมดอยู่ที่ลูก แต่อนาคตของลูกๆอยู่ที่ผม" ข้อความนี้จำได้แม่นมากไม่เคยลืมเลย ไม่ต่างกับคำถามว่า  "ดวงกำหนดเรา หรือเรากำหนดดวง" เลยทีเดียว

ทุกคนต้องเรียนโหราศาสตร์:

มีโอกาสเรียนก็ควรจะเรียนรู้ไว้บ้าง ในอดีตวิชานี้ก็มีแต่ชนชั้นปกครองที่จะได้เรียนรู้ พระมหากษัตริย์ทหารแม่ทัพนายกอง  ปัจจุบันประชาชนทั่วไปก็เรียนกันได้ การพยากรณ์ก็มีหลากหลายศาสตร์ให้เลือกเรียน ถ้ามีเวลามีโอกาสก็ไม่ควรพลาด รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง วันนี้เรียนวันนี้ก็รู้ พรุ่งเรียนพรุ่งนี้ก็รู้ แล้วก็จะเสียดายรู้งี้เรียนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว (เห็นพูดแบบนี้หลายคนแล้ว)

เรียนโหราศาสตร์ต้องเป็นหมอดู:

ก็ไม่จำเป็น เรียนไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน หรือในธุรกิจของเราเอง ก็เยอะ

เลือกเรียนกับใครดี ที่ไหนดี กับใครดี:

ก็แล้วแต่จริต แล้วแต่ศรัทธา ส่วนใหญ่ก็ไปตระเวนเรียนกันเกือบทุกสำนัก สุดท้ายเราก็จะมีส่วนที่เป็นการเก็บรวบรวมย่อยไว้เป็นแบบฉบับของเราเองเช่นกัน

ใช้เวลาเรียนนานไหม เคยได้ยินว่าต้องครบรอบดาวเสาร์:

ปัจจุบันมีคอมพิวเตอร์เป็นตัวช่วยแล้ว เรียนไม่เท่าไหร่ก็ทายกันได้แล้ว  สิ่งที่สำคัญคือพื้นฐาน พื้นฐานแบบ intensive ก็ 1-2 วัน (ตัวเองก็เรียนมาแบบนี้) ก็สามารถทายพื้นฐานได้ เข้าใจภาพดวงเดิม ดาวจร ปฏิทินดาว การโคจรของดาวได้ ที่เหลือก็ไปศึกษาต่อ อ่านต่อเอง แล้วก็ค่อยหาเวลาไปเรียนเพิ่มเติมแบบเต็มๆ 

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ตำแหน่งดาว-มหาจักร

คนบางคนทำงานเช้าชามเย็นชามไม่ได้ ไม่เคยได้ทำงานแบบชิวๆเหมือนคนอื่น

หรือแม้กระทั่งการใช้ชีวิต การเปลี่ยนแปลง ผกผัน ตลอดเวลา
กำลังจะรุ่งๆเผลอแป๊ปเดียวตกอีกแล้ว หรือไม่ก็เป็นนังแจ๋วอยู่ดีๆ
อีกวันกลายเป็นซินเดอเรลล่าไปซ่ะแล้ว 

จะว่าไปการพุ่งขึ้นเป็นพลุ หรือตกต่ำเตี้ยเรี่ยดิน บางดวงเป็นเพราะสถานการณ์หรือเป็นเพราะคนอื่นๆ
แต่บางดวงก็เป็นเพราะตัวเองก็มี ขึ้นอยู่กับดาวในพื้นดวงมาอ่านประกอบ

เช่น สอบชิงทุนไปต่างประเทศ
1.เจ้าตัวอยากไป ได้ทุน แต่เกิดเหตุไม่ได้ไป
2.เจ้าตัวอยากไป ได้ทุน และได้ไป 
3.เจ้าตัวไม่อยากไป ได้ทุน และไม่ไปเพราะไม่อยากไป

ในดวงชะตา มันจะมีดาวหลายตำแหน่ง แต่ตำแหน่ง  "มหาจักร"
อาจารย์ที่เป็น direct line ของเราบอกว่า เหมือนนั่งรถไฟเหาะ 
ขึ้นก็ขึ้นซะสูง ตกก็ตกซ่ะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไม่ใช่ครั้งเดียว แต่เรื่อยๆตลอดชีวิต   


มาดูซิว่า มีดาวอะไรอยู่ตำแหน่งไหน ไปหาผูกดวงแล้วมาดูซิว่า มีมหาจักรกี่ดวง 5555  

 

มีคำกลอนกล่าวถึงดาวมหาจักร ของอาจารย์สมัยก่อน พูดถึงดาวตำแหน่งนี้ ไว้ดังนี้

 
  มหาจักรฟักตัวขึ้นเป็นใหญ่         
  กว่าจะได้ต้องบุกบั่นฟันโฉงเฉง
  ช่างผาดโผนหนักหนาน่ายำเกรง            
  ยศยิ่งเพรงจึ่งมีให้ดีใจ

นอกจากจะให้ผลกับสถานการณ์ในชีวิตแล้ว
ก็ยังให้ผลกับความรู้ความสามารถวิธีคิดวิเคราะห์แยกแยะ
การพลิกสถานการณ์ ไหวพริบ ระดับไม่ธรรมดา ของเจ้าชะตาด้วย 
ทั้งนี้ ต้องดูดาวอื่นๆในดวงประกอบ ตัวอย่างเช่น

ถ้าเจ้าชะตาเป็นดาวจันทร์ ตำแหน่งอ่อนแอ แล้วดาวคู่ครองดันเป็นมหาจักร
แล้วคู่ครองจริงๆ ดาวประจำตัวเขาก็มหาจักร จบข่าว คู่ครองยึดอำนาจในบ้านแต่เพียงผู้เดียว 
แต่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเจ้าชะตาเป็นดาวจันทร์ อ่อนหวานอ่อนไหวเป็นผู้ตามที่ดีอยู่แล้ว

ทีนี้บางคน เดี๋ยวแป้ก เดี๋ยวแป้ก ไปแคะดวงมาอ่าน ดาวมหาจักรหลายดวงเกิ๊น
ใจต้องแกร่งมากๆถึงจะพาตัวเองข้ามผ่านไปได้ ใจไม่แกร่งล่ะ ก็ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม

มีตำราเก่าๆ เคยอ่านครูบาอาจาร์ท่านเขียนไว้ว่า ดาวตำแหน่งนี้ดังคำกลอนที่ว่า
กว่าจะได้อะไรมาจะต้องไม่ทำธรรมดา(
มหาจักรฟักตัวขึ้นเป็นใหญ่ กว่าจะได้ต้องบุกบั่นฟันโฉงเฉง)
นั่นก็คือว่าอย่างน้อยวันหนึ่งที่ยังฟักตัวอยู่ มันยังมีโอกาสสำเร็จ (คำปลอบใจจากครูบาอาจารย์ในตำรา)
เพราะว่าบางดวงบางคนลำบากมากยังไงก็ไม่มีวันประสบความสำเร็จ(ท่านว่างั้น)
แต่เราอ่านแล้ว เราสัมผัสได้ว่าตำรากำลังปลอบใจเรา 117146
เพราะว่าตัวแปรสำคัญ คือ สถานการณ์ปัจจุบัน เหตุการณ์ในอนาคต
ดาวปัจจุบัน ดาวที่กำลังเดินต่อไปในอนาคต  


คนธรรมดา ที่มีดาวมหาจักรก็เยอะ ไม่ใช่มีแต่คนมีชื่อเสียง 

ชีวิตมีขึ้นมีลงเสมอๆ คนที่จะอยู่รอด นอกจากจะต้องเข้าใจในหลักอนิจจังแล้ว
ต้องทำใจกับมัน(มัน=อนิจจัง)ได้ด้วย ต้องอุเบกขาให้เป็น

บางคนบอกว่า ทำไมชีวิตกรูต้องเหนื่อยขนาดเน้ ทำไมต้องรับผิดชอบคนรอบตัวเลยฟร่ะ
เชื่อเถอะ บ่นไปงั้นแหล่ะ เพราะว่าคนที่มีความสามารถ มีไหวพริบ
สามารถพลิกสถานการณ์ พลิกฟ้าพลิกดินได้ 
โดยมากก็จะเป็นผู้เสียสละ 55555 117 ซึ่งก็น่าจะดีนะ เพราะว่า
ทางพระ ท่านบอกว่าเป็นการสร้างบารมีให้กับตัวเอง

แล้วคนไม่มีดาวมหาจักรล่ะ ...ชีวิตก็ธรรมดาๆไม่หวือหวาไง ไม่ต้องไป บุกบั่นฟันโฉงเฉง กับใครเขาไง 

ถ้ามีดาวที่ได้ตำแหน่ง ราชาโชค นะ ชีวิตเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบไป 5% 10% 117 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าดวงจะบอกว่ายังไง สิ่งสำคัญที่สุด คือใจเราเอง
ถ้าใจมันยอมแพ้ ทุกสิ่งอย่าง "เป็นไปไม่ได้" มันก็เป็นไปไม่ได้  
ถ้าใจไม่ยอมแพ้ ทุกสิ่งอย่างมันก็เป็นไปได้ แค่เรายังหาไม่เจอทางออก


ใครมี ดาวตำแหน่งมหาจักร ก็ทำใจใส่พานเลย 117   






ลัคนา จุดขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก

ลัคนา คือ จุดขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก ณ เวลาที่เราเกิด โดยคำนวณหาจากองศาของพระอาทิตย์ ณ วัน และ เวลาที่เราเกิด โดยทั่วไป การหาลัคนา จะประกอบด...